เนื้อหาพิเศษสำหรับบุคลากรทางการแพทย์และนักศึกษา
โรคเบาหวานเป็นปัญหาสุขภาพที่มีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นทั่วโลก แต่ก็มีคนจำนวนมากที่ยังคงไม่ได้รับการวินิจฉัย และที่สำคัญคือคนเหล่านี้ไม่ได้รับการรักษา สถิติในปี 2564 แสดงให้เห็นว่าเกือบครึ่งหนึ่ง (44.7%) ของผู้ใหญ่ทั้งหมดที่มีอายุระหว่าง 20-79 ปี (จำนวนประมาณ 239.7 ล้านคน) ซึ่งป่วยเป็นโรคเบาหวาน ไม่ได้รับการตรวจวินิจฉัย ในรูปที่ 1 ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นหนึ่งในภูมิภาคที่มีอัตราการตรวจวินิจฉัยต่ำกว่าความเป็นจริงมากที่สุดที่ 51.3% ซึ่งตัวเลขส่วนใหญ่อยู่ในอินโดนีเซีย โดยมีผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการวินิจฉัยถึง 14.3 ล้านคน1
ความเสี่ยงของการไม่ได้รับการวินิจฉัยโรคเบาหวาน อัตราความชุกของโรคเบาหวานที่ไม่ได้รับการตรวจวินิจฉัยในระดับสูงนั้น นำไปสู่ความเสี่ยงต่อสุขภาพที่ร้ายแรงและปัญหาอื่น ๆ อีกมากมาย เนื่องจากผู้ป่วยจำนวนมากไม่มีอาการแสดงให้เห็นนานถึง 5–6 ปี เมื่อตรวจพบและได้รับการรักษาล่าช้า ผู้ป่วยอาจจะมีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้ เช่น โรคจอประสาทตาเสื่อม โรคไตเรื้อรัง และโรคหลอดเลือดหัวใจ นคือสาเหตุที่ควรได้รับตรวจวินิจฉัยและการรักษาแต่เนิ่น ๆ จึงเป็นกุญแจสําคัญในการป้องกันภาวะแทรกซ้อน1
ด้วยอัตราของผู้ที่ไม่ได้รับการวินิจฉัยมีมากกว่า 50% ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผู้ป่วยจํานวนมากอาจมีภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานได้1 นี่คือเหตุผลที่การเพิ่มอัตราการตรวจวินิจฉัยตั้งแต่เนิ่น ๆ จึงเป็นเป้าหมายที่สําคัญ สถาบันสาธารณสุขของภาครัฐและเอกชนและผู้ประกอบวิชาชีพด้านการดูแลสุขภาพ จึงอใช้วิธีการหลากหลายแบบเพื่อการวินิจฉัยโรคในระยะแรกเริ่ม ตัวอย่างเช่น การนำโปรแกรมการคัดกรองตามเป้าหมายใช้ โดยอ้างอิงตามเครื่องมือขององค์การอนามัยโลก เช่น FINRISK, ColDRISC และ AUSDRISK เพื่อระบุผู้ที่มีความเสี่ยงสูงในการเกิดโรคเบาหวาน วิธีการอื่น ๆ จะรวมถึงอุปกรณ์สุขภาพแบบดิจิทัลและแบบระยะไกล เช่น แอปพลิเคชันสุขภาพบนมือถือ ซึ่งสามารถเฝ้าติดตามบุคคลที่มีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานได้ดียิ่งขึ้น ในขณะที่ล่าสุดนี้ โมเดลการคาดการณ์โดย AI สามารถช่วยระบุบผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานได้มากขึ้น กลยุทธ์ทั้งหมดเหล่านี้จําเป็นต้องอาศัยความร่วมมืออย่างแข็งขันระหว่างองค์กรในท้องถิ่นและองค์กรระหว่างประเทศ (เช่น องค์การอนามัยโลกและ และ สมาพันธ์เบาหวานนานาชาติ (International Diabetes Federation : IDF) เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการวินิจฉัยโรคในระยะเริ่มแรก การรักษาในระยะเริ่มแรก และการป้องกันภาวะแทรกซ้อนในโรคเบาหวานชนิดที่ 21 (Type 2 Diabetes : T2D)
การปรับปรุงการรักษาโรคเบาหวานประเภทที่ 2 ให้ดียิ่งขึ้นก็เป็นสิ่งสําคัญในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนเช่นกัน แนวทางระดับสากลหลายแนวทางแนะนําให้ใช้โภชนบำบัด (Medical Nutrition Treatment: MNT) เพื่อให้สามารถจัดการโรคเบาหวานประเภทที่ 2 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในบรรดาทางเลือกต่าง ๆ ของโภชนาบำบัดโดยไม่ใช้ยานั้น ได้มีการพัฒนาสูตรอาหารที่จําเพาะต่อโรคเบาหวาน (Diabetes Specific Formula : DSF) เพื่อใช้เป็นการรักษาที่อิงตามหลักฐาน8
ในรูปที่ 3 ได้แสดงแนวทางขององค์กรสากลต่าง ๆ รวมถึงสมาคมโรคเบาหวานแห่งสหรัฐอเมริกา (American Diabetes Association: ADA) และสมาพันธ์เบาหวานนานาชาติ (International Diabetes Federation: IDF) ได้เน้นย้ำบทบาทของโภชนบำบัด ในโรคเบาหวานประเภทที่ 2 ดังนี้:9-12
รูปที่ 3 - การจัดการภาวะน้ำตาลในเลือดสูงหลังมื้ออาหาร (PPH) ในปัจจุบัน9-12
ผลการวิจัยทางคลินิกเมื่อไม่นานมานี้สนับสนุนการให้โภชนบำบัดทางการแพทย์ในการรักษาผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ด้วยอาหารทางการแพทย์สูตรเฉพาะโรคเบาหวาน ประกอบด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (Monounsaturated Fatty Acid : MUFA) สูงขึ้น มีเส้นใยอาหารเพิ่มขึ้น และมีปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่ลดลง
ประเด็นที่สำคัญ ได้แก่:
การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบของจากผลการวิจัยเปรียบเทียบสูตรอาหารจำเพาะสำหรับโรคเบาหวานกับสูตรมาตรฐานแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุม (randomized controlled trial: RCT) จำนวน 19 โครงการ การวิจัยทางคลินิกที่มีการควบคุม (Controlled Clinical Trial: CCT) จำนวน 3 โครงการ และการวิจัยทางคลินิก (Clinical Trial: CT) จำนวน 1 โครงการ พบว่า DSF แสดงถึงการลดลงอย่างมีนัยสําคัญของระดับกลูโคสหลังมื้ออาหาร ความเข้มข้นของกลูโคสในช่วงที่สูงสุด และ ค่าดัชนีน้ำตาลกลูโคส13 ในการวิเคราะห์อภิมานการวิจัยแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุม 6 โครงการพบว่า DSF ลดระดับกลูโคสหลังอาหารลงได้ 1.03 มิลลิโมล/ลิตร เมื่อเปรียบเทียบกับสูตรมาตรฐาน นอกจากนี้การใช้สูตรอาหารจำเพาะสำหรับโรคเบาหวานยังแสดงให้เห็นการลดลงของความเข้มข้นของกลูโคสในช่วงสูงสุดที่ 1.6 มิลลิโมล/ลิตร, ดัชนีกลูโคสลดลง 31–45% และความต้องการอินซูลินการลดลง 26–71%3
โภชนบำบัด: เป้าหมายในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 214
รูปที่ 4 - เป้าหมายการบําบัดรักษาด้วยโภชนาการสําหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานทุกรายในปี 256714
การวินิจฉัยโรคเบาหวานตั้งแต่ในระยะเริ่มแรกและการเริ่มการรักษาในระยะเริ่มแรกเป็นสิ่งสําคัญในการจัดการโรคเบาหวาน สําหรับทั้งการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและการป้องกันภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว การให้โภชนบำบัดทางการแพทย์ ด้วยอาหารทางการแพทย์เฉพาะโรคเบาหวาน ได้แสดงให้เห็นหลักฐานว่าเป็นการบําบัดรักษาที่ไม่ใช่เชิงเภสัชวิทยาซึ่งใช้ได้ผลในการดูแลผู้ป่วยเบาหวานประเภทที่ 2
ขั้นตอนต่อไปคืออะไร
เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดการอาหารสูตรจำเพาะสําหรับโรคเบาหวาน
คลิกที่นี่
จากสถิติของสมาพันธ์เบาหวานนานาชาติพบว่า เกือบครึ่งหนึ่งของผู้ใหญ่ที่เป็นโรคเบาหวานทั่วโลกยังคงไม่ได้รับการวินิจฉัย ซึ่งหมายความว่า ประชากรประมาณ 239.7 ล้านคนที่ไม่ทราบถึงภาวะสุขภาพของตน ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีอัตราผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ไม่ได้รับการวินิจฉัยสูงกว่า 50% เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีแก้ไขปัญหานี้ และเรียนรู้ว่าอาหารสูตรจำเพาะสำหรับโรคเบาหวานสามารถช่วยผู้ป่วยของคุณควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างไร เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
คุณสามารถแชร์ เนื้อหา นี้บนเครือข่ายโซเชียลที่คุณชื่นชอบได้
เข้าสู่ระบบหรือสมัครสมาชิกเพื่อเข้าถึงเนื้อหาพิเศษทั้งหมด
Login or register and you will be able to favorite articles, videos and many exclusive contents by saving the list in รายการโปรดของฉัน