เนื้อหาพิเศษสำหรับบุคลากรทางการแพทย์และนักศึกษา
บทความนี้จะสรุปประเด็นสำคัญบางส่วนที่นําเสนอในการประชุมประจําปีของสมาคมการศึกษาวิจัยโรคเบาหวานในยุโรป (EASD) ครั้งที่ 57 และ 58
การประชุมของสมาคมการศึกษาวิจัยโรคเบาหวานในยุโรป ครั้งที่ 57 ประจำปี 2564 ได้นําเสนอว่าภาวะน้ำตาลในเลือดสูงหลังมื้ออาหาร (Postprandial Hyperglycemia: PPH) เป็นองค์ประกอบสําคัญในการควบคุมโรคเบาหวาน ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญในการใช้ยาร่วมกับโภชนาการเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างเหมาะสมที่สุด
จาก การประชุมของกประจำปี 2564 ที่เน้นย้ำในเรื่อง “ความผันผวนของระดับน้ำตาลในเลือดหลังมื้ออาหาร: ผลต่อสุขภาพและผลของการรักษาโดยไม่ใช้ยา”
Louis Monnier
Monnier ได้นําเสนอแนวคิด ‘The Ominous Quartet’ ซึ่งเป็นความผิดปกติของค่าน้ำตาลในเลือดสี่อย่างที่ทําให้เกิดภาวะแทรกซ้อนของหัวใจและหลอดเลือด:
เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเรื้อรังและภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำมีผลเสียต่อหัวใจและหลอดเลือด1-4 ตัวอย่างเช่น การลด HbA1c ลง 1% สามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดลงได้ 20% ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำยังส่งเสริมการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด และส่งผลให้ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะแย่ลงหรือกระตุ้นให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดใหม่ขึ้นได้ ควรรักษาระดับ HbA1c ให้ต่ำกว่า 7% โดยมีระยะเวลาที่ระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในช่วงเป้าหมายมากกว่า 70% เกณฑ์สําหรับภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำคือ 70 มก./ดล. และภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำอย่างมีนัยสําคัญคือ ต่ำกว่า 54 มก./ดล.
อย่างไรก็ตาม เกณฑ์สําหรับความแปรปรวนของค่าน้ำตาลในเลือด (GV) และ ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงหลังมื้ออาหาร (PPH) ยังคงไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน นอกจากนี้ บทบาทของ ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงหลังมื้ออาหาร (PPH) และ ความแปรปรวนของค่าน้ำตาลในเลือด (GV) ต่อผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์ยังคงไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนเช่นกัน Monnier ได้เน้นย้ำถึงความสําคัญของการกําหนดเกณฑ์และเป้าหมายสําหรับความผิดปกติของค่าน้ำตาลในเลือดเหล่านี้ (GV, PPH) เพื่อการตรวจติดตามและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยได้ดียิ่งขึ้น5-6
ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงหลังมื้ออาหาร (PPH) คืออะไร หลังมื้ออาหาร คาร์โบไฮเดรตจะถูกดูดซึม ซึ่งทําให้ระดับกลูโคสในเลือดเพิ่มขึ้น สภาวะหลังมื้ออาหารนี้คงอยู่นาน 4-5 ชั่วโมง ตามด้วยระยะหลังการดูดซึม (6-8 ชั่วโมง) จากนั้นจะเป็นสภาวะอดอาหาร (10 ชั่วโมงหลังมื้ออาหาร)7 ในเวลาเดียวกัน หากเราตรวจติดตามการหลั่งอินซูลิน เราพบว่าการหลั่งอินซูลินมีความแตกต่างกันไประหว่างผู้ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดปกติ ผู้ที่มีความทนต่อกลูโคสบกพร่อง (impaired glucose tolerance: IGT) และผู้ที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 diabetes: T2D) ในผู้ที่มีน้ำตาลในเลือดปกติ การหลั่งอินซูลินจะอยู่ที่ 80–100% ในขณะที่สำหรับผู้ที่มีความทนต่อกลูโคสบกพร่อง การหลั่งอินซูลินจะอยู่ที่ 50–80% และน้อยกว่า 50% ในผู้ที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ความไวต่ออินซูลินที่ลดลงจะนําไปสู่การสร้างกลูโคสในตับมากเกินไป ซึ่งนําไปสู่ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงขณะอดอาหารและหลังมื้ออาหาร ความเข้มข้นของน้ำตาลในเลือดจะถึงระดับสูงสุดหลังจากที่รับประทานอาหาร 30 นาทีในผู้ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดปกติ แต่สำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 นั้น จะต้องใช้เวลาถึง 60–120 นาที8 การศึกษาวิจัย ต่าง ๆ พบว่าภาวะน้ำตาลในเลือดสูงหลังมื้ออาหาร จะมีระดับสูงสุดหลังอาหารมื้อเช้า เนื่องจากการสร้างกลูโคสในตับเป็นไปตามจังหวะของนาฬิกาชีวิต ดังนั้น ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการตรวจภาวะค่าน้ำตาลในเลือดสูงหลังมื้ออาหารในโรคเบาหวานคือ 1-2 ชั่วโมงหลังอาหารเช้า9,10
การตั้งค่าเกณฑ์สําหรับภาวะน้ำตาลในเลือดสูงหลังมื้ออาหาร เป็นสิ่งสําคัญอย่างยิ่ง มีความสัมพันธ์ที่ชัดเจนระหว่าง HbA1c และระดับกลูโคสในเลือดสูงสุดหลังอาหารเช้า โดยระดับ HbA1c อยู่ที่ 7% นั้น สอดคล้องกับระดับกลูโคสในเลือดสูงสุดที่ประมาณ 160 มก./ดล. สหพันธ์เบาหวานนานาชาติ (International Diabetes Federation: IDF) แนะนําให้รักษาระดับกลูโคสในเลือดสูงสุดหลังอาหารเช้าให้ต่ำกว่า 160 มก./ดล. เพื่อรักษาระดับ HbA1c ให้น้อยกว่า 7% ในขณะที่สมาคมโรคเบาหวานแห่งสหรัฐอเมริกากําหนดเกณฑ์ไว้ที่น้อยกว่า 180 มก./ดล. ซึ่งสอดคล้องกับระดับ HbA1c ที่น้อยกว่า 7.5%9 Monnier แนะนําว่า ควรปฏิบัติตามคำแนะนําของสหพันธ์เบาหวานนานาชาติ เพื่อให้การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากนี้ในโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มีการควบคุมได้ดี (HbA1c มากกว่าหรือเท่ากับ 6.8%) ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงหลังมื้ออาหาร มีส่วนทําให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูงโดยรวมมากขึ้น ในขณะที่ในในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานซึ่งควบคุมได้ไม่ดี ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงขณะอดอาหารมีบทบาทมากกว่า11
ตอนนี้เรามาดูรายละเอียดในเรื่องค่าความแปรปรวนของค่าน้ำตาลในเลือด (GV ) มีความสัมพันธ์เชิงบวกที่ชัดเจนระหว่างการเปลี่ยนแปลงของความผันผวนของ น้ำตาลในเลือดหลังมื้ออาหาร และความแปรปรวนของของค่าน้ำตาลในเลือด (GV) โดยที่ค่า GV ประมาณ 50% เป็นผลมาจากภาวะน้ำตาลในเลือดสูงหลังมื้ออาหาร 11 ค่า %GV (ซึ่งคำนวณจากค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของระดับกลูโคสในเลือด หารด้วยค่าเฉลี่ยของระดับกลูโคสในเลือด) เป็นตัวชี้วัดที่ดีที่สุดสําหรับการประเมินค่า GV โดยค่า 36% เป็นเกณฑ์ที่ใช้แบ่งแยกระดับน้ำตาลในเลือดที่คงที่ออกจากระดับน้ำตาลในเลือดที่ไม่คงที่12 อย่างไรก็ตาม Monnier ตั้งข้อสังเกตว่า “เราไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่าความแปรปรวนของค่าน้ำตาลในเลือด เป็นสาเหตุของผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์”
Bo Ahrén
Ahrén ได้เน้นย้ำถึงผลการศึกษาของ Monnier และคณะ ว่า ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงหลังมื้ออาหาร มีผลต่อ HbA1c มากกว่า 60% ในขณะที่ระดับกลูโคสในเลือดขณะอดอาหารมีส่วนไม่ถึง 40%13 นอกจากนี้ การศึกษาแบบติดตามผลไปข้างหน้า พบว่าแม้ว่าผู้ป่วยที่มีระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหารน้อยกว่า 5.5 มิลลิโมล/ลิตร จำนวนเพียง 64% ที่สามารถควบคุม HbA1c ได้ต่ำกว่า 7% แต่ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นเป็น 94% ในผู้ป่วยที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูงหลังมื้ออาหาร น้อยกว่า 7.8 มิลลิโมล/ลิตร14 สิ่งนี้ย้ำให้เห็นถึงความจำเป็นในการจัดการกับภาวะน้ำตาลในเลือดสูงหลังมื้ออาหาร เพื่อลดระดับ HbA1c
การจัดการภาวะระดับน้ำตาลในเลือดหลังมื้ออาหารสูงโดยไม่ใช้ยา
การจัดการภาวะน้ำตาลในเลือดสูงหลังมื้ออาหาร โดยไม่ใช้ยา Ahrén ย้ำว่าทั้งช่วงที่ ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงหลังมื้ออาหารสูงที่สุดและระยะเวลาที่สูงขึ้น จะต้องได้รับการจัดการกลยุทธ์ในการลดภาวะน้ำตาลในเลือดสูงหลังมื้ออาหาร ได้แก่ การชะลอการบีบตัวของกระเพาะอาหารเพื่อให้อาหารออกจากกระเพาะช้าลง (delaying gastric emptying) ลดการหลั่งกลูคากอนจากตับ และลดการดูดซึมกลูโคส Ahrén ตั้งข้อสังเกตว่า “การรักษาด้วยยานั้นไม่เพียงพอ แต่ยังจำเป็นต้องมีวิธีการที่ไม่ใช้ยาสําหรับการจัดการภาวะน้ำตาลในเลือดสูงหลังมื้ออาหาร”
เรามาดูรายละเอียดในเรื่องส่วนผสมจากธรรมชาติ เช่น อบเชยและบลูเบอร์รี กันดีกว่า แม้ว่าจะมีการศึกษาวิจัยอบเชยในแง่ของฤทธิ์ต่อระดับน้ำตาลในเลือดและน้ำหนักตัว แต่การทบทวนวรรณกรรมโดย Cochrane สรุปว่า ยังมีหลักฐานไม่เพียงพอที่จะสนับสนุนการใช้อบเชยในการรักษาโรคเบาหวาน15,16 ในทํานองเดียวกัน ได้มีการศึกษาวิจัยกับบลูเบอร์รี่ แต่ยังไม่พบว่ามีผลต่อภาวะน้ำตาลในเลือดสูงหลังมื้ออาหาร17
จาก การประชุม EASD ประจำปี 2565 ในหัวข้อเกี่ยวกับ “ผลของระดับกลูโคสในเลือดสูงหลังมื้ออาหารและแนวทางด้านโภชนาการในการจัดการระดับน้ำตาลในเลือดหลังมื้ออาหารโดยเน้นที่โปรตีนชนิดเวย์””
โปรตีนชนิดเวย์
เวย์โปรตีน (whey protein: WP) เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์รองรับในการใช้กับผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 เนื่องจากมีศักยภาพในการควบคุมภาวะน้ำตาลในเลือดสูงหลังมื้ออาหาร ในการวิจัยแบบสุ่ม มีกลุ่มควบคุม อาสาสมัครที่ได้รับเวย์โปรตีน 15 กรัมก่อนอาหารเช้าแสดงการเพิ่มขึ้นของกรดอะมิโนที่มีโครงสร้างแบบกิ่ง (Branched Chain Amino Acid: BCAA) ในพลาสมาสองถึงสามเท่าภายใน 20–40 นาที BCAA ทําหน้าที่เป็นสารกระตุ้นการหลั่งอินซูลินจากตับอ่อนที่มีฤทธิ์แรง ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดหลังมื้ออาหารลดลง เวย์โปรตีนยังกระตุ้นการหลั่งอินซูลินด้วยการกระตุ้นเบต้าเซลล์ของตับอ่อนโดยตรง กระตุ้นฮอร์โมนอินครีติน เช่น GLP-1 และ GIP และยับยั้ง DPP-418
Ahrén นําเสนอการวิจัยทางคลินิกที่สําคัญที่แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ของโปรตีนชนิดเวย์ในโรคเบาหวานชนิดที่ 2:
John L. Sievenpiper
หม่อน (Morus alba L. หรือ MLE) ได้แสดงให้เห็นถึงฤทธิ์ในการยับยั้งเอนไซม์อัลฟ่า-กลูโคสิเดส21,22 Sievenpiper ได้นําเสนอการศึกษาวิจัยที่แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ของสารสกัดจากใบหม่อนในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 การศึกษาวิจัยที่สําคัญสามการศึกษา ได้แก่:
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพหัวใจด้วยอาหารสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานและโปรตีนชนิดเวย์
คลิกที่นี่
การจัดการระดับน้ำตาลในเลือดด้วยการรักษาโดยไม่ใช้ยาเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ ซึ่งมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และการศึกษาวิจัยทางคลินิกรองรับ การประชุมของสมาคมการศึกษาวิจัยโรคเบาหวานในยุโรป ประจำปี 2564 และ 2565 ได้เน้นให้เห็นว่า กลยุทธ์การรักษาโดยไม่ใช้ยา เช่น เวย์โปรตีนและสารสกัดจากใบหม่อน สามารถช่วยควบคุมภาวะค่าน้ำตาลในเลือดสูงหลังมื้ออาหารได้อย่างไร เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับความสําคัญของการจัดการภาวะน้ำตาลในเลือดสูงหลังมื้ออาหาร ในโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และผลการศึกษาวิจัยทางคลินิกที่สนับสนุนการใช้วิธีการรักษาโดยไม่ใช้ยาและโภชนบำบัดจากธรรมชาติ เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
คุณสามารถแชร์ เนื้อหา นี้บนเครือข่ายโซเชียลที่คุณชื่นชอบได้
เข้าสู่ระบบหรือสมัครสมาชิกเพื่อเข้าถึงเนื้อหาพิเศษทั้งหมด
Login or register and you will be able to favorite articles, videos and many exclusive contents by saving the list in รายการโปรดของฉัน