เนื้อหาพิเศษสำหรับบุคลากรทางการแพทย์และนักศึกษา
การรักษาโดยไม่ใช้ยาที่มีประสิทธิภาพและสามารถนำไปใช้ได้จริงเป็นสิ่งสําคัญยิ่ง สําหรับการจัดการโรคเบาหวานอย่างมีประสิทธิภาพ ในบรรดาการรักษาเหล่านี้ โภชนบำบัดเป็นสิ่งสําคัญสูงสุด หนึ่งในวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการจัดการโรคเบาหวานด้วยโภชนาการคือการนำอาหารสูตรเฉพาะโรคเบาหวาน (diabetes-specific nutrition formulas: DSNF) มาใช้
แผนโภชนาการสําหรับโรคเบาหวานอาจประกอบด้วยอาหารทดแทนมื้ออาหารซึ่งออกแบบมาเพื่อผู้ป่วยโรคเบาหวานโดยเฉพาะ อาหารสูตรเฉพาะโรคเบาหวานเหล่านี้ให้สัดส่วนของสารอาหารที่เหมาะสมที่สุด ระหว่างสารอาหารหลัก คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน และวิตามินแร่ธาตุ เพื่อประสิทธิภาพการทำงานของ ระบบเมแทบอลิซึม ในบทความนี้ได้ถกประเด็น การนำอาหารสูตรเฉพาะโรคเบาหวานไว้ในแผนโภชนาการสําหรับโรคเบาหวาน จัดเป็นแนวทางที่สะดวกและมีประสิทธิภาพในการจัดการโรคเบาหวานได้อย่างไร1
สหพันธ์เบาหวานนานาชาติ (IDF) ได้ประมาณการไว้ว่า จะมีผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 (T2D) 643 ล้านคนในปี 2573 ซึ่งจะเพิ่มขึ้นเป็น 783 ล้านคนในปี 25882 แนวโน้มนี้ในโรคเบาหวานชนิดที่ 2 เกิดจากรูปแบบการดําเนินชีวิตแบบเนือยนิ่ง นิสัยการกินที่ไม่ดีต่อสุขภาพ และปัจจัยทางพันธุกรรม สิ่งที่น่ากังวลมากที่สุดคือ โรคเบาหวานชนิดที่ 2 เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดอย่างมีนัยสําคัญ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตทั่วโลก และนําไปสู่ภาวะแทรกซ้อน เช่น โรคไต โรคเส้นประสาท และโรคจอตา2-5
เนื่องจากความชุกของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 มีแนวโน้มสูงขึ้น ทำให้การค้นหาวิธีในการจัดการระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นมีความสําคัญมากกว่าที่เคย มาดูกันว่าการใช้อาหารสูตรเฉพาะโรคเบาหวาน สามารถเป็นแนวทางการรักษาที่ดีกว่าสูตรโภชนาการมาตรฐานได้อย่างไร
อาหารสูตรเฉพาะโรคเบาหวาน ได้รับการออกแบบโดยคํานึงถึงความต้องการของผู้ป่วยโรคเบาหวาน โดยประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่มีดัชนีค่าน้ำตาล (glycemic index: GI) ต่ำ กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (monounsaturated fatty acid: MUFA) และโปรตีนคุณภาพสูง นอกจากนี้ ยังมีไฟเบอร์ที่ละลายน้ำได้รวมถึงวิตามินแร่ธาตุที่จำเป็น เช่น วิตามินดี วิตามินบี 6 และสังกะสี1
ปริมาณสารอาหารในอาหารสูตรเฉพาะโรคเบาหวาน สอดคล้องกับแนวทางเวชปฏิบัติของอาหารสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานจากหลายองค์กร ซึ่งรวมถึงสมาคมต่อมไร้ท่อทางคลินิกแห่งอเมริกา (American Association of Clinical Endocrinology) สมาคมโรคเบาหวานแห่งสหรัฐอเมริกา (American Diabetes Association: ADA) องค์กรโรคเบาหวานแห่งแคนาดา (Diabetes Canada) และสมาคมเพื่อการศึกษาวิจัยโรคเบาหวานแห่งยุโรป (European Association for the Study of Diabetes: EASD) เน้นถึงความสําคัญของโภชนบำบัด (medical nutrition therapy: MNT) ในการรักษาโรคเบาหวานชนิดที่ 2 แนวทางเหล่านี้แนะนําให้รับประทานอาหารซึ่งมีค่า GI ต่ำ มีเส้นใยสูง (14 กรัมต่อ 1,000 กิโลแคลอรี) และอุดมไปด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว6,7 อาหารสูตรเฉพาะโรคเบาหวาน จึงสอดคล้องกับคําแนะนําเหล่านี้
การบริโภคโปรตีนและโรคไตเรื้อรัง (CKD)
การบริโภคโปรตีนยังเป็น สารอาหารหลักที่สำคัญสําหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 อีกด้วย คําถามที่ถามบ่อยคือ ปริมาณโปรตีนที่แนะนําสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งป่วยโรคไตเรื้อรังร่วมด้วยคือเท่าใด แนวทางปฏิบัติ ADA 2025 แนะนําว่า ปริมาณการบริโภคโปรตีนที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับสถานะของโรคไตเรื้อรังของแต่ละบุคคล ดังนี้
- ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะ G3 ที่ยังไม่ฟอกไตและระยะที่สูงกว่า ควรจํากัดปริมาณการบริโภคโปรตีนไว้ที่ 0.8 กรัม/กิโลกรัมต่อวัน ซึ่งเท่ากับประชากรทั่วไป
-สําหรับผู้ป่วยที่ได้รับการฟอกไต จําเป็นต้องได้รับปริมาณโปรตีนที่สูงขึ้น ซึ่งคือ 1.0–1.2 กรัม/กิโลกรัม/วัน ในกรณีดังกล่าว ปัญหาสําคัญคือภาวะสูญเสียโปรตีนและพลังงาน (PEW)8
อันดับแรก ในแง่ของการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในระยะสั้น การศึกษาวิจัยต่าง ๆ ได้แสดงให้เห็นว่า การแบ่งปริมาณการบริโภคอาหารสูตรเฉพาะโรคเบาหวาน ออกเป็น 2 มื้อนั้น ทําให้สามารถควบคุมการตอบสนองของกลูโคสหลังมื้ออาหาร (ภาวะระดับน้ำตาลในเลือดสูงหลังมื้ออาหาร - PPH) ได้ดีขึ้น9 การวิจัยเชิงเปรียบเทียบยังแสดงให้เห็นว่าอาหารสูตรเฉพาะโรคเบาหวาน มีประสิทธิภาพเหนือกว่าอาหารมาตรฐาน เช่น อาหารที่ทำจากข้าวโอ๊ตหรือการรับประทานนมกับคอร์นเฟลก ในแง่ของการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดหลังมื้ออาหาร10 นอกเหนือจากประโยชน์ด้านค่าน้ำตาลในเลือดในระยะสั้นแล้ว อาหารสูตรเฉพาะโรคเบาหวาน ยังมีบทบาทในการควบคุมฮอร์โมน GLP-1 และความอยากอาหาร11,12 การวิเคราะห์อภิมานและการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบยืนยันว่า อาหารสูตรเฉพาะโรคเบาหวาน ส่งผลให้มีความต้องการอินซูลินลดลง และแสดงผลตัวชี้วัดด้านการเผาผลาญที่น่าพอใจ เช่น ระดับกลูโคสในเลือดขณะอดอาหารและ HbA1c ที่ดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป13,14 นอกจากนี้ ในการศึกษาวิจัยต่าง ๆ ยังได้แสดงว่า ผู้ป่วยสามารถรับอาหารสูตรเฉพาะโรคเบาหวานได้ดีและมีเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์น้อย1
วิธีใช้อาหารสูตรเฉพาะโรคเบาหวาน ในทางปฏิบัติ
ขั้นตอนวิธีการจัดการโภชนาการสำหรับโรคเบาหวานโดยคำนึงถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรม (Transcultural Diabetes Nutrition: tDNA) เสนอวิธีการอย่างเป็นระบบในการรวมอาหารสูตรเฉพาะโรคเบาหวาน เข้าไว้ในการดูแลรักษาโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ตามลักษณะของผู้ป่วย ขั้นตอนวิธีการจัดการต่อไปนี้ได้รับการพัฒนาตามหลักฐานทางคลินิกและฉันทามติของผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำให้การใช้อาหารสูตรเฉพาะโรคเบาหวาน ในการจัดการอาหารสำหรับโรคเบาหวานชนิดที่ 2 มีความเหมาะสมที่สุด
โภชนาการสำหรับโรคเบาหวานโดยคำนึงถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรม:
บุคคลที่มีน้ำหนักเกิน/เป็นโรคอ้วน:
ผู้ที่มีน้ำหนักปกติ:
บุคคลที่มีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์:
อาหารสูตรเฉพาะโรคเบาหวาน เป็นอาหารสําหรับโรคเบาหวานที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ ซึ่งสามารถช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและการจัดการน้ำหนักตัว ในขณะเดียวกัน หลักการ tDNA ยังเสนอแนวทางที่มีประสิทธิผลในการรวมอาหารสูตรเฉพาะโรคเบาหวาน ไว้ในการดูแลด้านโภชนาการเฉพาะบุคคล ซึ่งช่วยให้แพทย์สามารถให้การรักษา ที่ได้ผลดีที่สุดแก่ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2
เรียนรู้เกี่ยวกับการทําความเข้าใจวิทยาศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลังอาหารสําหรับโรคเบาหวานโดยเฉพาะ
คลิกที่นี่
อาหารสูตรพิเศษสำหรับโรคเบาหวาน ตามแผนโภชนาการสำหรับโรคเบาหวาน ได้หมายรวมถึงอาหารสูตรเฉพาะโรคเบาหวาน (Diabetes-Specific Nutrition Formula: DSNF) ซึ่งได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วว่าเป็นการรักษาโรคเบาหวานโดยไม่ใช้ยาที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ โดยการให้สารอาหารหลักที่สมดุล คาร์โบไฮเดรตที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ (low GI) และวิตามินแร่ธาตุที่จําเป็น เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับประโยชน์ของอาหารเฉพาะโรคเบาหวานเปรียบเทียบกับอาหารสูตรมาตรฐาน
คุณสามารถแชร์ เนื้อหา นี้บนเครือข่ายโซเชียลที่คุณชื่นชอบได้
เข้าสู่ระบบหรือสมัครสมาชิกเพื่อเข้าถึงเนื้อหาพิเศษทั้งหมด
Login or register and you will be able to favorite articles, videos and many exclusive contents by saving the list in รายการโปรดของฉัน