เนื้อหาพิเศษสำหรับบุคลากรทางการแพทย์และนักศึกษา
เนื้อหาสำคัญบางส่วนจากการประชุม Diabetes and Nutrition Study Group (DNSG) ประจําปี 2565 ที่เน้นย้ำเกี่ยวกับ “การจัดการน้ำหนัก วิตามินแร่ธาตุ และอาหารเสริมในโรคเบาหวาน”1 บทความนี้จะนําเสนอเนื้อหาสำคัญบางส่วนที่กล่าวถึงในการประชุมสัมมนานานาชาติเกี่ยวกับโรคเบาหวานและโภชนาการครั้งที่ 39 ประเด็นสำคัญของบทความนี้เน้นไปที่การป้องกันและการรักษาโรคเบาหวานด้วยโภชนาการและรูปแบบการดําเนินชีวิต วิทยากรในงานสัมมนาได้กล่าวถึงการทำให้โรคเบาหวานสงบลงด้วยการลดน้ำหนัก การรักษาอย่างทันท่วงทีในผู้ที่มีภาวะก่อนเบาหวาน และบทบาทของโภชนาการเฉพาะบุคคลในการส่งเสริมสุขภาพของระบบหัวใจและเมแทบอลิซึม1
Michael Lean
Michael Lean ได้อภิปรายถึงวิธีทําให้โรคเบาหวานสงบลงด้วยการลดน้ำหนักอย่างยั่งยืน โดยใช้อาหารที่มีพลังงานต่ำมาก (VLEDs) เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักตัวและโรคอ้วนเป็นตัวขับเคลื่อนสําคัญของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 (T2D) การทำน้ำหนักได้ตามเป้าหมายและการพยายามควบคุมน้ำหนักให้คงที่ จึงเป็นสิ่งสําคัญสําหรับผู้ป่วยเหล่านี้ ในความเป็นจริง การรักษาน้ำหนักให้คงที่สามารถช่วยให้โรคเบาหวานชนิดที่ 2 สงบลงได้ ซึ่งกําหนดเกณฑ์ไว้ที่ค่า HbA1c <48 มิลลิโมล/โมล โดยไม่มีการใช้ยาลดกลูโคสเป็นเวลา 6 เดือน2-5 นอกเหนือจากการลดน้ำหนักในเบื้องต้นแล้ว การควบคุมน้ำหนักยังเกี่ยวข้องกับการคงน้ำหนักตามเป้าหมายไว้ได้และการป้องกันไม่ให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นอีกด้วย5
ดังนั้นแล้ว อะไรคือกลยุทธ์การรักษาน้ำหนักให้คงที่ในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งมีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์รองรับ Lean เน้นย้ำถึงความสําคัญของการรักษาด้วยการลดน้ำหนักแบบมีหลักฐานรองรับสําหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคอ้วน การวิเคราะห์อภิมานของการทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุมในผู้ที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 แสดงให้เห็นว่า อาหารที่มีพลังงานต่ำมาก (400–500 กิโลแคลอรี/วัน) และอาหารที่มีพลังงานต่ำ (LEDs) (1,000–1,500 กิโลแคลอรี/วัน) มีประสิทธิภาพสําหรับการลดน้ำหนักมากกว่าอาหารควบคุมพลังงาน (ลดปริมาณพลังงานที่จะได้รับลง)6 การทดลอง DiRECT ซึ่งนำโดย Lean และ Roy Taylor กำหนดให้ผู้ป่วย 149 รายได้รับอาหารทดแทนทั้งหมด (825−853 กิโลแคลอรี/วัน) เป็นเวลา 3–5 เดือน ตามด้วยการเริ่มกลับมารับประทานอาหารอย่างมีแบบแผนเป็นเวลา 2 -8 สัปดาห์ ทั้งนี้ได้มีการหยุดยารักษาเบาหวานและยารักษาความดันโลหิตสูงในตอนเริ่มต้น แต่เริ่มให้ยาอีกครั้งเมื่อจําเป็น เป็นที่สังเกตได้ว่าในระยะเวลา 12 เดือน กลุ่มทดลองพบภาวะสงบของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 46% แต่กลุ่มควบคุมพบภาวะสงบของโรค 4% (p<0.0001)2 Lean ตั้งข้อสังเกตว่า ถึงแม้ว่าการศึกษา DiRECT จะประสบความสําเร็จ แต่การรับประทานอาหารที่มีพลังงานต่ำมาก (VLED) มากตลอดเวลานั้นทำได้ยาก ดังนั้นกุญแจสำคัญของความสำเร็จจึงอยู่ที่การร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลโรคเบาหวานและการควบคุมน้ำห เพื่อช่วยให้สามารถรักษาระดับน้ำหนักเป้าหมายไว้ได้อย่างยั่งยืน1
Jeffrey Mechanick
ในขณะที่ Lean มุ่งเน้นว่าการรักษาน้ำหนักอย่างยั่งยืนสามารถช่วยให้โรคเบาหวานชนิดที่ 2 สงบลงได้ แต่ Mechanick กลับมุ่งเน้นว่า โรคเบาหวานชนิดที่ 2 เป็นกระบวนการที่ค่อยเป็นค่อยไปและเริ่มเกิดขึ้นมายาวนานก่อนที่จะตรวจวินิจฉัยพบ เขาเน้นย้ำว่าควรจัดการโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ให้ครอบคลุมตั้งแต่มีภาวะก่อนเบาหวานไปจนถึงเมื่อเกิดภาวะแทรกซ้อน7 ทั้งนี้เราควรมองภาวะดื้อต่ออินซูลิน ภาวะก่อนเบาหวาน การเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และภาวะแทรกซ้อนเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือดที่เกี่ยวข้องว่าเป็นกระบวนการต่อเนื่อง ไม่ใช่ภาวะที่แยกจากกันเป็นส่วน ๆ1 ข้อมูลนี้สะท้อนถึงแบบจำลองของโรคเรื้อรังตามวิธีคิดของ Mechanick ที่ระบุว่า ปัจจัยทางพันธุกรรม สิ่งแวดล้อม และสังคม ล้วนมีบทบาทร่วมกันในระยะก่อนเกิดโรค ซึ่งหากไม่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสมก็อาจลุกลามนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนได้”10 ดังนั้น การรักษาเพื่อป้องกันโรคเบาหวานชนิดที่ 2 จึงควรมุ่งเน้นไปที่การป้องกันตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม ผ่านการปรับโภชนาการและรูปแบบการใช้ชีวิตอย่างมีแบบแผนตั้งแต่เนิ่น ๆ การรักษาตั้งแต่ระยะแรกเริ่มเหล่านี้สามารถใช้สูตรโภชนาการที่จําเพาะต่อโรคเบาหวานซึ่งมีหลักฐานทางคลินิกสนับสนุนได้8 ท้ายที่สุดแล้ว การวิเคราะห์เมตาโบโลม (food metabolome) ของอาหารในแต่ละบุคคลจะช่วยให้สามารถให้คำแนะนำเฉพาะบุคคล เพื่อสนับสนุนสุขภาพในทุกระยะของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้1
Simin Liu
เน้นย้ำถึงความจําเป็นสำหรับการรักษาด้วยการกำหนดโภชนาการและรูปแบบการดำเนินชีวิตอย่างมีแบบแผน แต่ Liu ลงลึกมากขึ้นไปอีกด้วยการสํารวจว่า พันธุกรรม อาหาร และปัจจัยแวดล้อมทั้งหมดนั้น มีบทบาทร่วมกันในการกำหนดรูปแบบสุขภาพของระบบหัวใจและเมแทบอลิซึมอย่างไร1 และเหตุใดปัจจัยเหล่านี้จึงมีความสําคัญ เรามาดูผลการศึกษาวิจัยโดย Women’s Health Initiative Study ซึ่งแม้ว่าจะลดการบริโภคไขมันลงจาก 35% เป็น 20% ได้แล้ว แต่ผลลัพธ์ของโรคหลอดเลือดหัวใจกลับไม่ดีขึ้น สาเหตุผลบางส่วนนั้นเนื่องจากมีการแทนที่คาร์โบไฮเดรต ซึ่งครึ่งหนึ่งก็เป็นการแทนที่ด้วยน้ำตาล10 ดังนั้น ข้อมูลนี้จึงนำไปสู่คําถามที่สําคัญว่า เหตุใดการรักษาด้วยการปรับอาหารบางวิธีจึงได้ผลสําหรับบางคน แต่ไม่ได้ผลสำหรับคนอื่น ๆ นี่คือจุดที่ Liu แสดงข้อมูลที่ลึกลงไปอีกชั้นว่า ลักษณะที่ยีนและสิ่งแวดล้อมของเราปฏิสัมพันธ์กับอาหารที่เรารับประทานสามารถส่งผลต่อสุขภาพของเราอย่างไร งานวิจัยของเขาแสดงให้เห็นว่า แนวทางแบบสำเร็จรูปที่จะสามารถใช้ได้กับทุกคนนั้นย่อมไม่ได้ผล และแสดงให้เห็นว่าการทําความเข้าใจการปฏิสัมพันธ์เหล่านี้สามารถช่วยสร้างแผนโภชนาการที่มีประสิทธิภาพได้มากขึ้น Liu เน้นย้ำว่า ปัจจัยเสี่ยงทางพันธุกรรมต้องได้รับการประเมินภายในบริบทด้านสิ่งแวดล้อมและโภชนาการ เช่น การมีผลต่อกันระหว่างยีนกับอาหาร เราสามารถระบุกำหนดลักษณะทางพันธุกรรมที่สําคัญฟีโนไทป์ที่แตกต่างกันในเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ในตอนนี้ด้วยการใช้การวิเคราะห์ทางพันธุกรรม11 ตัวอย่างเช่น TRPM6 และ TRPM7 เป็นยีนที่เข้ารหัสโปรตีนซึ่งเกี่ยวข้องกับการขนส่งแมกนีเซียม และถูกระบุว่าอาจเป็นตัวทำนายความเสี่ยงของโรคเบาหวานชนิดที่ 212 การกำหนดกลไกและตัวกระตุ้นทางชีวภาพ ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยตัวบ่งชี้ทางชีวภาพ (biomarkers) เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการป้องกันโรค
ขั้นตอนต่อไปคืออะไร?
เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับกลยุทธ์การทำให้โรคเบาหวานสงบใน "โรคเบาหวานสามารถรักษาให้หายขาดได้หรือไม่"
คลิกที่นี่
บทความนี้จะเน้นบางหัวข้อที่กล่าวถึงในการประชุมนานาชาติเรื่องโรคเบาหวานและโภชนาการครั้งที่ 39 เราจะนําเสนอหัวข้อเกี่ยวกับการป้องกันและการรักษาโรคเบาหวานด้วยโภชนาการและรูปแบบการดําเนินชีวิต บทความนี้จะนําเสนอข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับการทำให้โรคเบาหวานสงบด้วยการลดน้ำหนัก การรักษาอย่างทันท่วงทีในผู้ที่มีภาวะก่อนเบาหวาน และบทบาทของโภชนาการแม่นยำสำหรับส่งเสริมสุขภาพของระบบหัวใจและเมแทบอลิซึม
คุณสามารถแชร์ เนื้อหา นี้บนเครือข่ายโซเชียลที่คุณชื่นชอบได้
เข้าสู่ระบบหรือสมัครสมาชิกเพื่อเข้าถึงเนื้อหาพิเศษทั้งหมด
Login or register and you will be able to favorite articles, videos and many exclusive contents by saving the list in รายการโปรดของฉัน